รัฐแบบไหนทิ้งประชาชน: ชะตากรรมของนักรบต่างชาติ (foreign terrorist fighters – FTF) ที่เข้าร่วมกลุ่มรัฐอิสลาม
ตั้งแต่การล่มสลายของรัฐคอลิฟะห์ (caliphate) ของกลุ่มรัฐสลาม (Islamic State – IS) หลายประเทศในยุโรปปฏิเสธที่จะรับตัวนักรบต่างชาติ (ผู้เข้าร่วมกับ IS) และผู้เกี่ยวข้องรวมทั้งเด็กและสตรีคนชาติตนกลับไปรับความยุติธรรม โดยปล่อยให้บุคคลเหล่านั้นถูกคุมขังอยู่ในค่ายกักกันในซีเรีย ช่วงต้นกุมภาพันธ์ 2020 กองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย (Syrian Democratic Forces – SDF)[1] ประกาศว่าจะนำตัวนักรบต่างชาติกว่า 1,000 คนที่ถูกควบคุมตัวไว้เข้ารับการพิจารณาคดี ทั้งนี้ การถอดถอนสถานะพลเมืองของบุคคลรวมถึงสิทธิการพิจารณาคดีอาชญากรรมที่ร้ายแรงถือเป็นปฏิปักษ์ต่อแนวคิดเรื่องความเป็นพลเมืองในสังคมประชาธิปไตยหรือเสรีนิยม สำหรับประเทศที่ไม่ได้มองการณ์ไกลและพยายามทิ้งพลเมืองของตน พวกเขายินยอมแลกความมั่นคงในระยะสั้นกับความเป็นจริงของอันตรายที่มากกว่าในอนาคต
ช่วงสูงสุดของการขยายอิทธิพลของกลุ่ม IS ดึงดูดนักรบต่างชาติหลายพันคนจากกว่า 10 ประเทศทั่วโลก IS กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ครอบงำพาดหัวข่าวทั่วตะวันออกกลางและนอกเหนือจากนั้น แม้ปัจจุบันเป็นช่วงต่ำสุด แต่ IS ก็ยังเป็นอันตราย เนื่องจากการแสวงหาสมาชิกและการสร้างเครือข่ายในภูมิภาค องค์กรและอุดมการณ์ IS ยังคงเป็นแรงบันดาลใจบรรดาสาวกผู้เลื่อมใสที่ปฏิบัติการในนาม IS ส่วนที่มีนัยสำคัญและยังคงเป็นภัยคุกคามคือ นักรบต่างชาติที่ถูกจับกุม ส่วนใหญ่กระตือรือร้นสมัครใจเดินทางจากมาตุภูมิไปทำลายล้างในอิรักและซีเรีย
หลังการล่มสลายของรัฐคอลิฟะห์ ประเทศต้นทางปฏิเสธที่จัดการเรื่องนี้ แม้บางประเทศเริ่มรับตัวพลเมืองของตนกลับประเทศ แต่เป็นจำนวนน้อยซึ่งประกอบด้วยเด็กและสมาชิกในครอบครัวของนักรบ IS ประเทศตะวันตกหลายประเทศทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เกี่ยวกับผู้ถูกคุมขังหรือถอดถอนสถานะพลเมืองของพวกเขา สภาพปัจจุบันไม่ยั่งยืนและจำเป็นต้องมีการประสานงานอย่างรอบคอบจากประชาคมระหว่างประเทศ
กองกำลัง SDF ประกาศเมื่อต้นกุมภาพันธ์ 2020 ว่า นักรบต่างชาติกว่า 1,000 คน ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตนจะถูกนำตัวเข้าสู่การพิจารณาคดี ประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากความล้มเหลวของการหารือระหว่าง SDF กับตัวแทนของหลายประเทศเกี่ยวกับชะตากรรมของพลเมืองจาก 50 ประเทศที่ถูกคุมขัง ประเทศส่วนใหญ่ปฏิเสธความรับผิดชอบการส่งกลับพลเมืองของตน การประเมินความเสี่ยง การไต่สวนคดีหากพบว่ามีความผิดรวมทั้งการฟื้นฟูพฤติกรรมและกลับคืนสู่สังคม บางประเทศอ้างว่าขาดอำนาจศาลหรือไม่สามารถดำเนินคดีนักรบพวกนี้ เพราะการกระทำของพวกเขาทำให้ไม่สามารถกลับประเทศต้นทาง บ้างก็อ้างว่าอาชญากรรมก่อขึ้นในอิรักและซีเรีย ด้วยเหตุนี้ประเทศทั้งสองจึงควรจัดการลงโทษ
การโต้แย้งดังกล่าวมีข้อบกพร่องทางพื้นฐาน อาชญากรรมที่ก่อขึ้นโดยนักรบต่างชาติเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ การกระทำของผู้ต้องสงสัยเหล่านี้ เช่น ฆาตกรรม ข่มขืนและสนับสนุนองค์กรก่อการร้ายเป็นอาชญากรรมในประเทศต้นทางของพวกเขา และไม่ใช่ทุกประเทศที่มีกฎหมายเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายอย่างเป็นรูปธรรมระดับเดียวกับสหรัฐฯ หลายประเทศมีกฎหมายประเภทนี้อยู่บ้างและมีความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพและผลบังคับตามกฎหมายของหลักฐานในสนามรบ แม้ว่ากลไกการสืบสวนที่ได้รับอาณัติจากสหประชาชาติ (UNITAD) นำหน้าความพยายามจัดทำเอกสารเกี่ยวกับอาชญากรรมของ IS ในอิรักซึ่งควรจะขยายไปถึงซีเรียด้วย
สำหรับประเทศอื่น ๆ ที่ละทิ้งความรับผิดชอบต่อชะตากรรมของพลเมืองอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลของประเทศเหล่านี้เชื่อว่าผู้ที่แสวงหารัฐอิสลามอย่างจงใจไม่ควรเป็นพลเมืองของตนอีกต่อไป เนื่องจากนักรบต่างชาติหลายคนสละสิทธิ์พลเมืองของตน เผาหนังสือเดินทางและให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อ “รัฐ” ที่พวกเขาเลือก ทำให้สูญเสียความเป็นพลเมืองของประเทศบ้านเกิดจากการถูกปรับ โดยเป็นที่เข้าใจว่าผู้ถูกควบคุมตัวเหล่านี้เป็นอาชญากรและผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายที่ควรได้รับความเห็นอกเห็นใจน้อยที่สุด
การลิดรอนความเป็นพลเมืองของบุคคล หรือสิทธิการพิจารณาคดีความผิดที่ร้ายแรงเป็นปฏิปักษ์ต่อแนวคิดเรื่องความเป็นพลเมืองในสังคมประชาธิปไตยหรือเสรีนิยม สถานะพลเมืองเป็นสัญญาสองฝ่ายที่ไม่สามารถยกเลิกได้โดยการกระทำของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ความยุติธรรมที่โปร่งใสไม่ได้เป็นสิทธิเฉพาะบุคคล แต่เป็นของกลุ่มบุคคล นี่คือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสิทธิ (rights) และสิทธิพิเศษ (privileges) รัฐต่าง ๆ ยังคงมีความรับผิดชอบ แม้ประชาชนสละทิ้งความเป็นพลเมืองของตนก็ตาม
กองกำลัง SDF ประกาศความตั้งใจดำเนินคดีตามกระบวนการและหลักฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล SDF เชื่อว่าการประกาศต่อสาธารณชนและการยื่นคำขาดจะบังคับให้รัฐบาลทำหน้าที่ส่งตัวพลเมืองของพวกเขาในที่สุด ปัญหานี้คงจะไม่เลือนหายไปเอง แต่จะเลวร้ายลงยิ่งขึ้น SDF ไม่สามารถกักตัวนักรบเหล่านี้ได้อย่างไม่มีกำหนดเวลา เนื่องจากขาดแคลนทั้งทรัพยากรและขีดความสามารถในการจัดการกับภัยคุกคามนี้
นอกจากนี้ยังมีผู้ถูกคุมขังอีกกว่า 4,000 คน ประกอบด้วยผู้หญิงเด็กและสมาชิกครอบครัวที่ถูกควบคุมตัวโดย SDF ในค่าย al-Hol ที่มีสภาพสกปรกย่ำแย่ Fener al-Kait ผู้ช่วยรัฐมนตรีกิจการต่างประเทศเดิร์ด-ซีเรียกล่าวถึงสถานการณ์ดังกล่าวโดยสรุปอย่างสะเทือนใจว่า “นี่เป็นวิกฤตการณ์ระหว่างประเทศวิธีแก้ไขปัญหาต้องวางอยู่บนรากฐานระหว่างประเทศ” หากไม่ไร้เดียงสาต่อความท้าทาย เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐจะต้องรับผิดชอบพลเมืองของตนและกระทำทันที สำหรับรัฐที่ไม่ได้มองการณ์ไกลและพยายามละทิ้งพลเมืองของตน พวกเขาเพียงแค่กล่าวอ้างถึงความมั่นคงระยะสั้นเพื่อแลกกับความเป็นจริงของอันตรายยิ่งกว่าในอนาคต