รัฐบาล Biden คิดอย่างไรกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไทย (ตอนแรก)
แม้ยังไม่รู้ว่า “ข้อมูล” แบบไหนหรือ “อะไร” ที่ทำให้ “ฝ่ายขวา” ของไทยเชื่อว่า สหรัฐฯอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของ “คณะราษฎร” ซึ่ง “ทูตนอกแถว” (รัศม์ ชาลีจันทร์) เห็นว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อดูนิยายมากไป แต่อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร) กลับชี้ว่า ทฤษฎีนี้มีความเป็นไปได้มากขึ้นทุกที อย่างไรก็ดี เมื่อ 31 สิงหาคม 2020 สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ/กรุงเทพฯปฏิเสธข้อกล่าวหาของ “กลุ่มไทยภักดี” ที่ว่าสหรัฐฯหนุนม็อบต้านรัฐบาล แล้วรัฐบาลของว่าที่ประธานาธิบดี Joe Biden จะมีนโยบายต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไทยอย่างไร?
เรื่องนี้ EIU (The Economist Intelligence Unit) ประเมินว่า รัฐบาล Biden จะกระชับความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกลับมาเข้าร่วมเวทีหารือระดับสูงในภูมิภาค ท่ามกลางความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ในด้านเศรษฐกิจรัฐบาล Biden ไม่น่าจะพลิกฟื้นอิทธิของสหรัฐฯที่เสื่อมลงในภูมิภาคและคงไม่ผลักดันการทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระดับภูมิภาค เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนมากพอจากการเมืองภายในสหรัฐฯ สำหรับปัญหาสิทธิมนุษยชนกลายเป็นจุดที่ไม่ขยับไปไหน (sticking point) ซึ่งเป็นอุปสรรคกดดันนโยบายต่างประเทศที่อิงคุณค่า (values-based policy) ของรัฐบาล Biden โดยอาจทำให้ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐฯในการคานอิทธิพลของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทวีความซับซ้อน
นโยบายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐบาล Biden คงจะไม่เปลี่ยนแปลงไปแบบมีนัยสำคัญ ฉากหลังการแข่งขันทางภูมิศาสตร์การเมืองระหว่างสหรัฐฯกับจีนยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับสมัยรัฐบาลทรัมป์และโอบามา ซึ่งจะกระตุ้นความพยายามของสหรัฐฯในการกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคงกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคและมีความเป็นสากลมากขึ้น ด้วยการมีส่วนร่วมในเวทีการหารือระดับภูมิภาครวมถึงสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
สหรัฐฯจะยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางการเมืองและความมั่นคงกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และบางกรณีก็อาจเข้มแข็งขึ้น รัฐบาล Biden จะยังคงดิ้นรนเพื่อแก้ไขการเสื่อมอิทธิพลทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯในภูมิภาค การลงนามในข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เมื่อเร็ว ๆ นี้ นำโดยอาเซียนและได้รับการสนับสนุนจากจีน เพื่อสร้างกลุ่มการค้าที่เหนียวแน่นในเอเชียและห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ที่กันสหรัฐฯออกไป ส่งผลให้จีนมีน้ำหนักทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นงานยากสำหรับรัฐบาล Biden ที่จะโน้มน้าวให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาอยู่ข้างสหรัฐฯ
ทะเลจีนใต้: ศูนย์กลางของความขัดแย้ง (ส่วนใหญ่)
ข้อแม้ของสมมติฐานนี้อยู่ในขอบเขตความความมั่นคง โอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งทางทหารครั้งใหญ่ในทะเลจีนใต้ที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ จีนและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปราะบางมาก ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้าหรือมากกว่านั้น คงไม่เกิดการปะทุขึ้นของความขัดแย้งทางทหาร อย่างไรก็ดี ยังคงมีความเสี่ยงในห้วงเวลาการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี Biden เนื่องจากการพัฒนาขีดความสามารถทางทหารของจีน ขณะที่สหรัฐฯยังคงชี้นำ ปฏิบัติการเสรีภาพการเดินเรือ (Freedom of navigation operation – Fonop) ในทะเลจีนใต้ เพราะความน่ารำคาญของจีนซึ่งดำเนินการสร้างเกาะประดิษฐ์อย่างต่อเนื่อง
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คาดว่าสหรัฐฯจะพัฒนาความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงอย่างแน่นแฟ้นกับประเทศที่มีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนกับจีนในทะเลจีนใต้ เฉพาะอย่างยิ่งเวียดนามรวมถึงมหาอำนาจในภูมิภาคเช่น อินโดนีเซียที่ยังดำรงสถานะเป็นกลาง ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้มีแนวโน้มปรากฏในรูปแบบอื่น ๆ มาตรการคว่ำบาตรหน่วยงานของจีน เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการในทะเลจีนใต้ ซึ่งเริ่มต้นครั้งแรกในสมัยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์จะยังคงเป็นเครื่องมือยับยั้งการเคลื่อนไหวของจีนในน่านน้ำที่มีข้อพิพาท
สำหรับรัฐบาล Biden สิ่งนี้มีประโยชน์ในการสร้างความยุ่งเหยิงให้กับการขยายอิทธิพลของจีนทั่วเอเชีย เนื่องจากหน่วยงานที่ถูกรวจสอบ (ข้อเท็จจริง) เป็นผู้รับเหมารายใหญ่ของโครงการความริเริ่มแถบแลทางของจีน (Belt and Road Initiative – BRI) (ยังมีต่อ)
ขอขอบคุณ ianalysed