ยังหนัก! ‘อังกฤษ’ ติดโควิดทะลุ 1 หมื่นราย 3 วันติด
อาการยังน่าห่วง! “สหราชอาณาจักร” รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ ทะลุหลัก 1 หมื่นราย เป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ขณะที่เชื้อสายพันธุ์ “เดลตา” ระบาดอย่างรวดเร็ว
สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมื่อวันเสาร์ (19 มิ.ย.) สหราชอาณาจักรรายงานพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่ม 10,321 ราย ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ถือเป็นยอดผู้ป่วยใหม่ที่มากกว่า 10,000 ราย ติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ทำให้ยอดผู้ป่วยรวมอยู่ที่ 4,620,968 ราย
สหราชอาณาจักรยังรายงานพบผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่ม 14 ราย ทำให้ยอดรวมอยู่ที่ 127,970 ราย โดยเป็นยอดรวมเฉพาะผู้ที่เสียชีวิตภายในรอบ 28 วันหลังมีผลตรวจเป็นบวก
สหราชอาณาจักรพบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์เดลตา (Delta) ซึ่งพบครั้งแรกในอินเดียและมีอัตราแพร่ระบาดสูง เพิ่มขึ้น 79% ในช่วงสัปดาห์ก่อน
จำนวนผู้ป่วยใหม่ทั่วประเทศส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว ซึ่งหลายคนได้รับคำเชิญให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว หลังจากมีการขยายแผนฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมคนกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป ขณะที่ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลก็เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า
ก่อนหน้านี้ในวันเสาร์ (19 มิ.ย.) ศาสตราจารย์อดัม ฟินน์ สมาชิกคณะกรรมการร่วมด้านการฉีดวัคซีนและการสร้างภูมิคุ้มกัน (JCVI) กล่าวว่า โรคโควิด-19 ระลอกใหม่กำลังระบาดอยู่ในสหราชอาณาจักร พร้อมกล่าวว่าต้องเร่งฉีดวัคซีนเพื่อแข่งกับการแพร่ระบาดระลอกที่ 3 ซึ่งเป็นการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา
ฟินน์กล่าวกับสำนักข่าวบีบีซี (BBC) ว่า หากมองในแง่ดีคือตัวเลขจะไม่เพิ่มขึ้นเร็วไปกว่านี้ แต่ก็จะยังเพิ่มขึ้นอยู่ดี และการระบาดระลอกที่ 3 ก็กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันอย่างแน่นอน
ข้อมูลล่าสุดที่เผยแพร่โดยหน่วยงานสาธารณสุขอังกฤษ (Public Health England) เผยให้เห็นว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) มีประสิทธิภาพในการลดการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาได้มากถึง 92% หลังจากฉีดครบสองโดส ขณะที่ประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer)อยู่ที่ 96%
สหราชอาณาจักรมีประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดสแรกแล้วมากกว่า 42.6 ล้านคน ขณะที่อีกมากกว่า 31 ล้านคนฉีดครบสองโดสแล้ว
ปัจจุบัน นานาประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร จีน รัสเซีย สหรัฐ รวมถึงสหภาพยุโรป กำลังแข่งกับเวลาเพื่อดำเนินการฉีดวัคซีน เพื่อทำให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง
ที่มา ซ https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/944448