ได้ฤกษ์ออกหมายจับ “เสี่ยโจ้” บงการขโมยเรือน้ำมันเถื่อน
ในที่สุด ตำรวจไทยก็ได้ฤกษ์ออกหมายจับ “เสี่ยโจ้ ปัตตานี” นายสหชัย เจียรเสริมสิน ฐานบงการให้โจรกรรมเรือของกลางบรรทุกน้ำมันเถื่อน 3 ลำไปจากบริเวณท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ
เหตุการณ์นี้ถือว่าสุดอุกอาจ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.67 ตำรวจใช้เวลาไม่นานนักก็ติดตามเรือกลับคืนมาได้ แต่ใช้เวลากว่า 1 เดือนในการสอบสวนทำสำนวนคดี และออกหมายจับ “เสี่ยโจ้”
แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า “เสี่ยโจ้” เคยโดนออกหมายจับมานับสิบหมาย มากกว่า 14 คดี แต่ไม่เคยมีคดีไหนเลยที่กระบวนการยุติธรรมลงโทษเขาได้ แม้กระทั่งคดีที่ศาลตัดสินแล้ว ต้องถูกส่งเข้าเรือนจำ ยังมีตำรวจพาเขาหลบหนีไปจากบริเวณศาล และพ้นเงื้อมมือของเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยจนถึงทุกวันนี้
หนำซ้ำเมื่อถูกจับอีกรอบเมื่อปี 64 ขณะนั่งรับประทานอาหารอยู่ร้านริมทางกลางกรุงเทพฯ เมื่อตำรวจคุมตัว “เสี่ยโจ้” ส่งอัยการ พนักงานอัยการกลับแจ้งว่ามีคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” เสี่ยโจ้ไปแล้ว แถมไม่มีหมายจับอื่นใด ทำให้ต้องปล่อยตัวเขาไปอีกครั้ง และเขาก็หายเข้ากลีบเมฆ กระทั่งมาแผลงฤทธิ์สั่งโจรกรรมเรือบรรทุกน้ำมันของกลางเย้ยตำรวจอีกรอบ
@@ หมายจับ “เสี่ยโจ้” พร้อมพวก – ปูพรมค้น 13 จุด
วันศุกร์ที่ 19 ก.ค.67 เป็นอีกวันหนึ่งที่ต้องบันทึกเอาไว้ เมื่อ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ในฐานะผู้อำนวยการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) และนายตำรวจระดับสูงที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงผลความคืบหน้าคดีขโมยเรือน้ำมันเถื่อนของกลางโดยเครือข่าย “เสี่ยโจ้”
โดยตำรวจมีการขออนุมัติออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม 3 ราย ประกอบด้วย นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ “เสี่ยโจ้ ปัตตานี”, นายสมเกียรติ จิรณรงค์พัฒน์ และ นายสำเริง อินทชัย ในความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานร่วมกันเอาไปเสียซึ่งทรัพย์สินอันเจ้าพนักงานได้ยึดรักษาไว้เพื่อเป็นหลักฐานฯ”
รวมทั้งเชิญตัว น.ส.อนันตญา ขันเอียด และ นายนรินทร ร่มเกตุ มาแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐานเดียวกัน พร้อมกระจายกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 13 จุด แบ่งเป็นพื้นที่ จ.สมุทรปราการ 1 จุด, สมุทรสาคร 2 จุด, เพชรบุรี 2 จุด, สงขลา 2 จุด และปัตตานี 6 จุด
@@ เปิดแผนประทุษกรรมขโมยเรือของกลาง
การออกหมายจับ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 มี.ค.67 ตำรวจกองปราบ ร่วมกับตำรวจน้ำ, กรมสรรพสามิตร และกรมเจ้าท่า จับกุมเรือน้ำมันเถื่อนจำนวน 5 ลำ ได้ผู้ต้องหา 28 คน พร้อมตรวจยึดน้ำมันเถื่อนของกลาง 325,000 ลิตร ก่อนนำไปจอดเก็บไว้ที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จ.ชลบุรี
ต่อมาปรากฏว่าเรือของกลางดังกล่าวได้หายไป 3 ลำ ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่า มีผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 15 คน เป็นลูกเรือหรือกลุ่มผู้ต้องหาเดิม 14 ราย ส่วนอีกรายเป็นคนนอก ตำรวจจึงเร่งนำกำลังออกไล่ล่าติดตาม จนสามารถตามเรือของกลางที่หายไปกลับคืนได้ทั้งหมด พร้อมจับกุมลูกเรือได้จำนวน 8 ราย
จากนั้นจึงเร่งขยายผล และพบว่านอกเหนือจากผู้ต้องหากลุ่มแรก 15 รายแล้ว ยังมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องด้วย
แนวทางสืบสวนพบว่า เมื่อช่วงต้นเดือน พ.ค. นายสมเกียรติ พร้อมด้วยนายสำเริง ได้นัดหมายไต้ก๋งเรือให้ไปพบที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อพูดคุยเตรียมการวางแผนขโมยเรือ โดยนำวิทยุสื่อสารกับเครื่องมือนำทาง GPS ไปให้กับไต๋เรือทั้ง 3 ลำ เนื่องจากเครื่องเดิมถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดไปจากการถูกจับกุม พร้อมทั้งสั่งให้จัดเตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้เป็นเสบียงระหว่างหลบหนี
กระทั่งเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.67 มีการประกาศเตือนว่าจะมีคลื่นสูง 1-2 เมตร และฝนฟ้าคะนอง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำจึงขยับนำเรือออกไปจอดห่างจากฝั่งประมาณ 100 เมตร กลุ่มผู้ต้องหาจึงฉวยโอกาสดังกล่าวนำเรือของกลางหลบหนี
งจากแนวทางสืบสวนเราพบพยานหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงตัวการใหญ่ที่บ่งชี้ว่าเป็นผู้สั่งการให้นำเรือของกลางหลบหนี คือ นายสหชัย หรือ “เสี่ยโจ้ ปัตตานี” นายสมเกียรติ และ นายสำเริง จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ก่อนนำมาสู่การนำกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายทั้ง 13 จุด ในหลายจังหวัด พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาแก่ น.ส.อนันตญา และ นายนรินทร ที่เป็นคนรับโอนเงินจากกลุ่มเครือข่าย เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมาย
ส่วนผู้ต้องหาตามหมายจับทั้ง 3 คน ไม่พบตัว เนื่องจากหนีกบดานซ่อนตัวอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับสำนวนคดีดังกล่าวคาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะแล้วเสร็จ สรุปสำนวนส่งอัยการได้
@@ เสียหาย 9 ล้าน – ท้ากลับมาขึ้นศาลสู้คดี
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า คดีโเรือน้ำมันเถื่อนของกลางหายนั้น จากข้อมูลที่มีอยู่จนถึงขณะนี้ยังไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง ยืนยันว่าถ้าพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง จะต้องถูกดำเนินคดีโดยไม่มีข้อยกเว้น
ส่วนเรือน้ำมันเถื่อนของกลางทั้ง 3 ลำที่ถูกลักไป จากการตรวจสอบพบว่าเจ้าของเรือก็คือ นายสหชัย ส่วนอีก 2 ลำที่เหลือนั้น (ไม่ได้ถูกโจรกรรม) เป็นของนายหนุ่ม เพชรบุรี ซึ่งในส่วนของนายหนุ่มนั้น ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเคยประสานติดต่อให้มาเข้าให้ปากคำ แต่เจ้าตัวอ้างว่าติดโควิด ขอเลื่อนไปก่อน
สำหรับความเสียหายจากเรื่องที่เกิดขึ้นทางศุลกากรได้ประเมินมูลค่าน้ำมันเถื่อนของกลางมาแล้วว่าอยู่ที่ประมาณ 9 ล้านบาท
ด้าน พล.ต.อ.ไกรบุญ กล่าวว่า คดีนี้ยืนยันว่าพยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจนว่า ตัวการหลักคือ นายสหชัย หรือ “เสี่ยโจ้” ที่เป็นเหมือนนายทุนคอยสั่งการลงมาที่ลูกน้อง โดยแบ่งหน้าที่กันเป็นในรูปแบบขบวนการ
“เรามั่นใจจึงขออำนาจศาลออกหมายจับและหมายค้น ซึ่งเจอพยานหลักฐานเพิ่มเติมมากมาย ส่วนเรื่องการติดตามตัวก็ไม่กังวล ขอให้มั่นใจว่าสามารถติดตามตัวมาดำเนินคดีได้อย่างแน่นอน โดยหลังจากนี้จะเร่งดำเนินการออกหมายแดง (ของอินเตอร์โพล)”
“อยากฝากบอกไปยังเจ้าตัวว่าขอให้รีบมามอบตัว มาสู้คดีกันดีกว่า ถ้าคิดว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้งก็มาสู้คดี เอาหลักฐานมาสู้ในศาล” จเรตำรวจแห่งชาติ ระบุ