วงเสวนาจี้รัฐบาลทำประชามติกาสิโนถูกกฎหมาย-ห่วงร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรฯ มีช่องโหว่
วันที่ 13 ก.ย. มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับเครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน (สสสย.) จัดประชุมโฟกัสกรุ๊ป ‘กาสิโนถูกกฎหมาย…ทางรอดประเทศไทยจริงหรือ?’ โดยนายอภิวัชร์ เกตุทัต ประธาน มสส. กล่าวว่า ในการแถลงนโยบบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาเมื่อวานนี้ (12 ก.ย.) มี 2 นโยบาย จาก 10 นโยบายเร่งด่วนที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงไว้
โดยเฉพาะนโยบายข้อที่ 4 ว่าด้วยเศรษฐกิจนอกระบบ ที่จะต้องนำธุรกิจบนดินขึ้นมาไว้บนดินและเข้ามาอยู่ในระบบภาษี และนโยบายข้อที่ 7 ว่าด้วยการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว โดยการสร้างแหล่งท่องเที่ยว เช่น เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ นโยบายทั้ง 2 ข้อ เกี่ยวพันกับบ่อนกาสิโน ซึ่งมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่าสิ่งนี้จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การสร้างรายได้เข้าประเทศได้จริงหรือไม่
ทั้งนี้ เนื่องจากอาจเกิดผลกระทบต่อเนื่องตามมาต่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาระหนี้สิน, ความสัมพันธ์ในครอบครัว, ปัญหาการฆ่าตัวตาย ,ปัญหาคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐ และปัญหาการฟอกเงิน ดังนั้น การจะทำให้สิ่งนี้เป็นเรื่องถูกฎหมาย ผู้เกี่ยวข้องต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ รับฟังทุกเสียงจากสังคมให้มากกว่านี้
“มีคำถามว่า ถ้ามีหรือไม่มีบ่อนกาสิโน เศรษฐกิจไทยจะอยู่รอดหรือไม่รอด แต่ประเด็น คือ ทำอย่างไร จึงสร้างความสมดุลระหว่างปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาสังคม รวมถึงการรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้น มสส.และ สสสย. ซึ่งมีบทบาทในการส่งเสริมให้ข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาวะของสังคมไทย จึงคาดหวังจะเห็นทุกฝ่าย โดยเฉพาะนักการเมืองที่จะมีบทบาทในการถ่วงดุล เพื่อลดปัญหาความไม่เหมาะสมจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาล” นายอภิวัชร์ กล่าว
@‘ภท.’แนะทบทวนกม.-‘พรรคประชาชน’ชี้ต้องทำประชามติ
นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่า การนำสิ่งที่อยู่ใต้ดินขึ้นมาบนดิน และทำให้ถูกกฎหมายเป็นเรื่องดี ซึ่งนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอลเพล็กซ์ ก็มีเรื่องกาสิโนรวมอยู่ในนั้นด้วย แต่ปัญหา คือ ใครจะเป็นผู้ให้สัมปทาน ผลประโยชน์ที่รัฐบาลจะได้คุ้มค่าหรือไม่ การมองเพียงรายได้เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ต้องมองถึงผลเสียด้วย โดยเฉพาะผลกระทบทางสังคมที่จะมีตามมาหากรัฐบาลควบคุมไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลควรเป็นเจ้าภาพในเรื่องนี้
“การมีกาสิโน คนไทยจะเป็นคนจ่ายค่าความเสียหายทางสังคม แต่คนได้ประโยชน์ คือ คนทำธุรกิจ ผมไม่อยากเห็นผลประโยชน์ไปตกอยู่กับกลุ่มนายทุน จึงอยากให้รัฐบาลเป็นคนทำในเรื่องนี้” นายกรวีร์ กล่าว
นายกรวีร์ ระบุด้วยว่า จากที่ได้เห็นร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. … ยังรู้สึกว่า ไม่เห็นด้วย เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่การมีกาสิโน ขณะที่การกำหนดเงื่อนไขทั้งในส่วนของกลุ่มทุนที่สนใจจะเข้าลงทุนและการกำหนดคุณสมบัติของคนไทยที่จะเข้าไปเล่นพนัน ยังมีความไม่เหมาะสม จึงอยากให้รัฐบาลแก้ไขกฎหมายเก่า โดยเฉพาะ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 ที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ครอบคลุมธุรกิจพนันรูปแบบใหม่ๆในปัจจุบัน
นายกัณฑิล น่วมเจิม สส.เขตวัฒนา-คลองเตย พรรคประชาชน กล่าวว่า เห็นด้วยกับการนำธุรกิจใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดิน เพื่อที่รัฐบาลจะมีรายได้เข้ามาเสริมกับการจัดเก็บรายได้ภาษีที่ปีนี้ยังจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าราว 2-3% ซึ่งการมีมาตรการสร้างแรงจูงใจเพื่อให้ธุรกิจใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดินนั้น รัฐบาลจะต้องทำประชามติรับฟังเสียงจากประชาชน เนื่องจากสิ่งนี้จะมีผลกระทบตามมา ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ไม่เว้นแม้กระทั่ง ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม
“หลายคนเชื่อว่าสิ่งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้ แต่การจะเห็นผลได้ชัดนั้น จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีนักท่องเที่ยวมาเมืองไทยเพื่อการนี้เป็นการเฉพาะ” นายกัณฑิล กล่าว
นายกัณฑิล กล่าวว่า ในการผลักดันนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์นั้น เห็นว่ารัฐบาลยังขาดความชัดเจนว่าจะเน้นอะไรมากกว่ากัน ซึ่งพรรคประชาชนไม่ได้คัดค้านนโยบายนี้ แต่เห็นว่าควรจะลดขนาดการลงทุน รวมถึงกระจายการลงทุนไปยังพื้นที่รอบนอก ไม่ใช่มากระจุกตัวอยู่เฉพาะในเมืองหลวง หากรวมกับนโยบายเช่าที่ดิน 99 ปีด้วยแล้ว ก็จะยิ่งสร้างปัญหาตามมา โดยเฉพาะราคาที่ดินที่จะแพงขึ้น ซึ่งเป็นการทำลายโอกาสการเป็นเจ้าของที่ดินของคนไทยได้
“ขอยืนยันว่า คนคลองเตยไม่มีใครเห็นด้วยกันเรื่องนี้ และหากจะสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ในพื้นที่ท่าเรือคลองเตย ก็เชื่อว่าจะมีปัญหาอย่างแน่นอน” นายกัณฑิล กล่าว
@นโยบายกาสิโนถูกกฎหมายเป็น‘ดาบสองคม-อบายมุขเสรี’
ส่วน มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการยุทธศาสตร์และรองประธานด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ในวงประชุมครั้งนี้ ตนน่าจะมีประสบการณ์ตรงกับเรื่องบ่อนกาสิโนมากที่สุด เพราะในสมัยที่เป็นหัวหน้านักเรียนไทยในสหรัฐฯ โดยเฉพาะเมืองลาสเวกัส ซึ่งเป็นที่ตั้งบ่อนกาสิโนจำนวนมาก ตนมีหน้าที่คอยดูแลและติดตามนักเรียนไทยจากบ่อนกาสิโนให้กลับมาเข้าเรียน โดยมีนักเรียนไทยหลายคนที่เข้าไปเล่นพนัน ทั้งที่ยังขอเงินจากพ่อแม่ผู้ปกครอง
ในขณะที่หลายคนขอเกินวงเงินที่ใช้จ่ายจริง เพราะนำเงินไปเล่นพนันในบ่อนกาสิโน หลายคนเรียนไม่จบ บางคนต้องเลิกเรียนและย้ายเมืองหนี นโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์จึงเป็น “ดาบสองคม” ที่จะส่งผลเสียต่อสังคมไทย เพราะผู้ลงทุนต้องหวังผลกำไรและส่งรายได้กลับประเทศ ขณะที่ผู้เล่นซึ่งส่วนใหญ่ก็คือคนไทยจะเป็นคนจ่ายเงินให้ธุรกิจนี้ จึงมีคำถามว่า รัฐบาลคาดหวังจะเติมเงินในกระเป๋าให้กับคนไทย หรือต้องการจะดูดเงินออกจากกระเป๋าคนไทยกันแน่
“มันไม่ต่างจากนโยบาย “อบายมุขเสรี” คำถาม คือ คนไทยจะร่ำรวยได้จากนโยบายอย่างนี้จริงหรือ” มล.กรกสิวัฒน์ ระบุ
มล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า หากรัฐบาลตั้งชื่อ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ให้ตรงกับภารกิจ เชื่อว่าจะตอบคำถามสังคมทำได้ง่ายขึ้น และจากที่ได้อ่านกฎหมายแม่ทั้ง 65 มาตรา เห็นว่า ไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่กับกฎหมายลูกดูแล้วน่าจะกังวลใจมากกว่า เนื่องจากยังมีช่องโหว่หลายเรื่อง และการศึกษาที่รัฐบาลทำไว้ก็ยังทำได้ไม่ครบ แม้รัฐบาลจะอ้างว่ามีการจัดตั้งองค์กรขึ้นมาดูแลและวางเงื่อนไขในการเข้าไปเล่นพนัน แต่จะได้คุ้มเสียหรือไม่
“แม้เมืองลาสเวกัสจะเลือกพื้นที่ทะเลทรายเป็นที่ตั้งบ่อนกาสิโน ดูแล้วเหมือนจะได้ประโยชน์ แต่ก็ยังมีข้อเสีย นั่นคือเกิดปัญหาการก่ออาชญากรรม มีการปล้น วิ่งราว ทะเลาะวิวาท ตามมา” มล.กรกสิวัฒน์ กล่าว
ขณะที่ นายศักดา แซ่เอียว หรือ ‘เซีย ไทยรัฐ’ ประธาน สสสย. กล่าวว่า เรื่องบ่อนกาสิโน คงไม่มีใครมองเห็นภาพอนาคตได้ดีเท่ากับนักการเมืองบางคนย่านเตาปูน และเมื่อรัฐบาลจำเป็นต้องสร้างโครงการขึ้นมาเพื่อหารายได้มาใช้จ่ายในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ก็ควรจะทำให้มันจบในสภาผู้แทนราษฎร ดึงเอาความร่วมมือของ สส.มาร่วมพิจารณาว่า จะเอาหรือไม่
“ส่วนตัวมองว่าเมืองไทยจำเป็นจะต้องมีแลนด์มาร์กแห่งใหม่ นอกเหนือจากพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้ว โดยต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่ ซึ่งคงไม่ต่างจากนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ที่รัฐบาลกำลังทำ โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงเม็ดเงินเข้ามาในประเทศ ซึ่งในส่วนของกาสิโนอาจต้องศึกษาสิ่งที่รัฐบาลสิงคโปร์และญี่ปุ่นได้ทำก่อนหน้านี้ หากรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าต่อ ก็น่าจะทำได้ ไม่ต่างจากการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิที่ต้องเวลานานถึง 40 ปี” นายศักดา กล่าว
สำหรับการเสวนาในช่วงที่ 2 นั้น นายกรวีร์ ระบุว่า เท่าที่ฟังเพื่อนวิทยากรไม่มีใครคัดค้านเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ แต่หากจะมีควรกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ที่มีความพร้อมและต้องการจริง ไม่ใช่แค่เกิดขึ้นเฉพาะในกรุงเทพฯ หรือ จ.ชลบุรี และควรลดไซส์การลงทุนให้เล็กลง ที่สำคัญรัฐบาลควรเป็นเจ้ามือเอง โดยศึกษาบทเรียนที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลออกสลากกินแบ่งฯ ซึ่งคนไทยเชื่อมั่นในความเป็นเจ้ามือของหน่วยงานรัฐแห่งนี้
นายกัณฑิล กล่าวว่า การเดินหน้าโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ จะต้องไม่มีการ “ตีเช็คเปล่า” ให้กับฝ่ายบริหาร เพราะอาจกลายเป็นเปิดโอกาสให้มีการทุจริตในโครงการหรือมีการกระทำที่ไม่เหมาะสมได้ และหากเมืองไทยจะมีคาสิโน ต้องเป็นแบบที่สิงคโปร์มี ไม่ใช่แบบพม่าหรือกัมพูชา
ด้าน มล.กรกสิวัฒน์ กล่าวเสริมว่า หากจำเป็นต้องมีเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ รัฐบาลควรเปิดให้มีการประมูล เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและสร้างรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงควรลดขนาดการลงทุนให้เหมาะสม ที่สำคัญต้องไม่มีการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ ขณะที่ นายศักดา ย้ำว่า เห็นด้วยกับการสร้างรายได้จากเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ แต่รัฐบาลต้องคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงติดตามผลกระทบที่จะเกิดขึ้นด้วย
นอกจากนี้ นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ สื่ออาวุโสและผู้ดำเนินการข่าวเข้มประเด็นข้น เอฟเอ็ม 96.5 อสมท. ให้ความเห็นในเวทีเสวนาครั้งนี้ ว่า ผู้ฟังรายการของตน มีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับกาสิโนถูกกฎหมาย หลายคนได้สะท้อนความเห็นในเรื่องนี้มากมาย ซึ่งโดยส่วนตัวมี 2 ประเด็นที่จะนำเสนอ คือ 1.การมีส่วนร่วมของสังคมไทยต่อนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคม และ 2.ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา
“จากที่ได้ศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านของไทย โดยเฉพาะที่กัมพูชา พบว่ามีอาชีพใหม่เกิดขึ้นจากกาสิโน นั่นคือ การปล่อยเงินกู้ให้กับนักพนัน โดยหากมีกำไรจะต้องนำมาแบ่งกัน แต่หากเสียพนัน ผู้กู้จะต้องรับภาระการชำระคืนในภายหลัง ซึ่งรัฐบาลควรศึกษาทั้ง 2 ประเด็นนี้ให้ดี” นายวิเชษฐ์ กล่าว