พ่อเล่านาทีที่ขีปนาวุธของอิสราเอล ทำให้ลูกน้อยได้รับบาดแผลไฟไหม้ระดับ 3
คำเตือน: เรื่องนี้มีรายละเอียดที่ทำให้สะเทือนใจ
ครอบครัวของ อีวานา กำลังเตรียมอพยพออกจากบ้านซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเลบานอน ก่อนที่ขีปนาวุธลูกแรกของอิสราเอลจะมาถึง ทว่าตอนนี้ลูกสาววัย 2 ขวบมีรอยไหม้ระดับ 3 เกือบครึ่งหนึ่งของร่างกาย ศีรษะและแขนของเธอถูกพันด้วยผ้าพันแผล
อีวานา ดูเหมือนหลงทางขณะนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ในแผนกรักษาผู้ป่วยไฟไหม้ของโรงพยาบาลเกตาอุยในเบรุต เธอตัวเล็กเหมือนตุ๊กตา แต่เสียงร้องดังลั่นสะท้อนว่านี่คือเด็กจริง ในขณะที่เธอเบือนหน้าหนีความเจ็บปวด โมฮัมเหม็ด สไกกี พ่อของเธอ พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของลูกตัวจิ๋ว
เขาเล่าว่า ผิวหนังและเนื้อของลูกสาวละลายหายไป
ช่วงเที่ยงของ 23 ก.ย. ซึ่งเป็นวันที่อิสราเอลเริ่มบุกโจมตีเลบานอนตอนใต้ครั้งใหญ่ เพื่อกรุยทางให้กองทัพอิสราเอลเข้าโจมตีในอีก 1 สัปดาห์ต่อมา ไม่มีคำสั่งให้อพยพที่ชัดเจนสำหรับพื้นที่ของครอบครัวนี้อาศัยอยู่ แต่ระเบิดกำลังใกล้เข้ามาแล้ว

“พวกเราพร้อมจะย้ายออกไปแล้ว เราเตรียมข้าวเครื่องใช้ไว้เรียบร้อยหมดแล้ว” โมฮัมหมัด กล่าว
“การโจมตีใกล้เข้ามา ห่างออกไปเพียง 10 เมตรจากประตูบ้านของเรา ทำให้บ้านสั่นสะเทือน ลูกสาวของผมกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ระเบียง ผมเห็นลูกคนเล็กตัวดำไปทั้งตัวเพราะฝุ่นและเขม่าจากขีปนาวุธ ผมเข้าไปอุ้มเธอไว้ ตอนนั้นมีบางอย่างระเบิดอยู่ในบ้านแล้วเพดานก็ถล่มลงมา”
ทันใดนั้นเอง ครอบครัวของ อีวานา รีบเผ่นออกจากบ้านในเมืองเดียร์ กานูน เอน นาร์ “เราออกจากบ้าน คว้ามาได้เพียงโทรศัพท์และเงินห้าสิบดอลลาร์” เขากล่าว
เจ้าหน้าที่กู้ภัยรีบนำตัว อีวานา ส่งโรงพยาบาลพร้อมกับ ราฮาฟ พี่สาวของเธอวัย 7 ขวบ อาการบาดเจ็บของ ราฮาฟ ไม่รุนแรง เธอออกจากโรงพยาบาลแล้วและพักรักษาตัวกับญาติ ๆ

โมฮัมหมัด แสดงรูปถ่ายในอดีตของลูกคนเล็กอย่าง อีวานา ให้ดู ดวงตาสีน้ำตาลของเธอเบิกกว้าง มีจุกนมสีชมพูคาอยู่ที่ปาก ผมหยิกสีน้ำตาลช่วยตีกรอบหน้าให้ชัดขึ้น ทว่าตอนนี้มองไม่เห็นผมของเธอแล้วเพราะอยู่ภายใต้ผ้าพันแผลก้อนใหญ่ รอยแผลเป็นต่าง ๆ อาจติดตัวเธอไปตลอดชีวิต
เซียด สไลมาน หนึ่งในศัลยแพทย์ตกแต่ง บอกว่า อีวานา กำลังฟื้นตัวได้ดี และหนูน้อยวัย 2 ขวบได้ได้นำความสดชื่นมาสู่ทีมแพทย์ผู้รักษา
“เธอเป็นเด็กใจดีมาก น่ารักและสงบมาก” เขากล่าวพลางยิ้มอย่างอบอุ่น “แม้แต่ตอนที่เราเปลี่ยนผ้าพันแผล เธอก็ไม่โวยวายหรือร้องไห้ เธอจ้องมองทุกสิ่งรอบตัว เธอจึงมองเห็นทุกคน และผมคิดว่าเธอรู้ทุกอย่าง เธอเป็นเด็กที่พิเศษมาก เธอกล้าหาญและแข็งแกร่งมาก”
เธอได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากเจ้าหน้าที่ในหน่วยรักษาผู้ป่วยไฟไหม้ ซึ่งจัดห้องเป็นวงกลม มีพยาบาลอยู่ตรงกลางเพื่อให้พวกเขาสามารถมองเห็นห้องทั้ง 8 ห้องได้โดยตรง โดยมีผู้ป่วยจำนวนมากรอคิวเข้ารับการรักษา
“ทุกวัน เราได้รับโทรศัพท์เพื่อขอโอนย้ายผู้ป่วย” นพ.สไลมาน กล่าว “เราไม่สามารถรับผู้ป่วยทุกคนได้ เราพยายามรับทารก ผู้หญิง ผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้หนักและได้รับบาดเจ็บ เพื่อให้พวกเขามีโอกาสได้รับการรักษาที่ดีที่สุด”
คนไข้ส่วนใหญ่มีบาดแผลไฟไหม้ระดับ 3 ส่วนแผลไฟไหม้ระดับ 4 นายแพทย์รายนี้อธิบายว่า “คุณจะเห็นแขนขาเป็นสีดำเหมือนท่อนไม้เลย” และไม่มีการรักษาใด ๆ มีเพียงการตัดขาออกเท่านั้น

ระบบสาธารณสุขของเลบานอนเองก็เป็นเหยื่อของสงครามะและถูกโจมตีโดยอิสราเอล องค์การอนามัยโลกของสหประชาชาติยืนยันว่า มีการโจมตีระบบสาธารณสุข 23 ครั้งในรอบเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 72 ราย
กระทรวงสาธารณสุขของเลบานอนบันทึกว่า “การโจมตีโรงพยาบาลของศัตรู 55 ครั้ง และการโจมตีนักเทคนิคการแพทย์ฉุกเฉิน 201 ครั้ง” โดยระบุว่า การโจมตีของอิสราเอลต่อบุคลากรทางการแพทย์ สถานพยาบาล และสถาบันต่าง ๆ ถือเป็น “การละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) และอนุสัญญาเจนีวาอย่างร้ายแรง”
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีรายงานเหตุโจมตีทางอากาศของอิสราเอล ซึ่งอยู่ตรงข้ามถนนจากโรงพยาบาลสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดของเลบานอนคือ โรงพยาบาลราฟิก ฮารีรี ในกรุงเบรุต โดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า ทำให้อาคารที่พัก 2-3 หลังถูกทำลาย และมีผู้เสียชีวิต 18 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 4 คน
กองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอลกล่าวกับบีบีซีว่า พวกเขากำลัง “โจมตีกลุ่มฮิซบัลเลาะห์ซึ่งเป็นองค์กรก่อการร้าย” ซึ่งพวกเขาอ้างว่า “ใช้ประโยชน์จากรถพยาบาลและโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์อื่น ๆ” พร้อมปฏิเสธว่าไม่ได้โจมตีบุคลากรทางการแพทย์
ถึงขณะนี้ เจ้าหน้าที่กว่า 30 คนในแผนกผู้ป่วยไฟไหม้ยังต้องทำงานทุกวัน ไม่มีใครอพยพ แต่มีความปกติใหม่เกิดขึ้นในเบรุตคือ การจราจรติดขัดในเวลากลางวัน มีระเบิดในเวลากลางคืน สิ่งเหล่านี้สร้างความเสียหายอย่างมาก
“พูดตามตรงแล้ว การดูแลผู้ป่วยที่มีบาดแผลและถูกไฟไหม้จากสงครามนั้นยากมาก” ดร.สไลมาน กล่าว “ไม่มีทหารที่นี่ เหยื่อทั้งหมดเป็นพลเรือน เรามีผู้หญิง มีเด็กผู้หญิง มีทารก มันไม่ใช่เรื่องของพวกเธอเลย เราในฐานะแพทย์ต้องเข้มแข็ง แต่เรามีหัวใจ เรามีเด็ก ๆ”

ท้ายที่สุดเมื่อถามพ่อของ อีวานา ว่ามีอะไรอยากพูดกับผู้รับผิดชอบต่อการทำร้ายลูกสาวตัวน้อยของเขาหรือไม่ เขาหยุดคิดสักครู่ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ และเหนื่อยล้า
“ผมไม่มีความสุข ทหารเพื่อทหาร ไม่ใช่พลเรือน “คนเหล่านี้เป็นเด็ก เป็นทารก” เขากล่าวโดยหมายถึง อีวานา “ผมไม่มีความสุข แต่จะทำอย่างไรได้ ผมไม่อยากเป็นฆาตกรเหมือนพวกเขา”
อีวานา ได้รับการปลูกถ่ายผิวหนังบริเวณขาส่วนล่างแล้ว และจะออกจากโรงพยาบาลได้ภายใน 10 วัน ครอบครัวของเธอยังต้องอพยพจากบ้านเกิดเรือนนอน ไม่สามารถกลับเข้าบ้านทางตอนใต้ของเลบานอนได้ เพราะกำลังถูกอิสราเอลโจมตีอย่างหนัก
ดร.สไลมาน เกรงว่าจะมี อีวานา อีกมาก
เขาไม่เห็นจุดจบของสงครามนี้ หากสงครามนี้เกิดขึ้น เขาเชื่อว่าจะไม่มีใครได้รับชัยชนะ
“ไม่มีสงครามใดที่จบลงด้วยผู้ชนะ” เขากล่าว “สงครามทุกครั้งจบลงด้วยผู้แพ้มากมาย ทุกคนจะต้องพ่ายแพ้”