วอชิงตันในวันอันมืดมิด: ความเปราะบางของอำนาจการโน้มน้าว (soft power)
ฝูงชนที่โกรธแค้น (MOB) บุกเข้าไปในรัฐสภาสหรัฐฯ เพื่อท้าทายผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 ขณะที่สมาชิกรัฐสภากำลังประชุมรับรองชัยชนะของโจ ไบเดน ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ปลุกระดมผู้สนับสนุนให้ “แสดงพลัง” ปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ของตน ภาพความวุ่นวายที่อาคารรัฐสภา (Capitol) จะเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อที่สำคัญของกลุ่มหัวรุนแรงขวาจัด (far-right extremists) กลุ่ม neo-Nazis และกลุ่มต่อต้านรัฐบาล[1] การก่อจลาจลดังกล่าวจะบ่อนทำลายความพยายามของสหรัฐฯในการส่งเสริมประชาธิปไตยและภาคประชาสังคมในต่างประเทศรวมทั้งบั่นทอนอำนาจการโน้มน้าว (soft power)[2] ของสหรัฐฯกับพันธมิตร
ภาพที่มีเพียงไม่กี่คนในสหรัฐฯหรือต่างประเทศ เคยเชื่อว่าจะได้เห็นผู้สนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์ใช้ความรุนแรงบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาของสหรัฐฯเมื่อ 6 มกราคม 2020 เพื่อท้าทายความถูกต้องของการเลือกตั้ง ปี 2020 และขัดขวางการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาซึ่งกำลังจะรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิดี
ความสับสนอลหม่านของฝูงชน เสียงปืนและการขู่วางระเบิด ทำให้มีการอพยพออกจากอาคารสำนักงาน Cannon House และอาคารหอสมุดเมดิสัน สมาชิกรัฐสภาได้สร้างเครื่องกีดขวางในอาคารสำนักงานเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ก่อความวุ่นวายสัญจรผ่านห้องโถงและทำลายทรัพย์สิน ท่ามกลางกลิ่นควันฉุนของแก๊สน้ำตาในอาคารรัฐสภา ขณะที่มีการส่งต่อหน้ากากป้องกันแก๊สไปยังสมาชิกรัฐสภา
มีผู้พบเห็นผู้ประท้วงเดินไปมาในห้องโถงของรัฐสภา โบกธงสมาพันธรัฐอเมริกา (Confederate Flag) และถือป้ายที่อ้างถึงการสมคบคิดซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีทรัมป์และขบวนการ QAnon[3] ฝูงชนที่ยังคงอยู่ในรัฐสภาเป็นระยะ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่และความสามารถบังคับใช้กฎหมาย ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โจมตีกระบวนการเลือกตั้งและเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนเดินขบวน “แสดงพลัง” ที่รัฐสภา
ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้เวลาหลายเดือนนับตั้งแต่การเลือกตั้ง ปลุกระดมผู้สนับสนุนตนบน Twitter และส่งเสริมให้พวกเขาเดินทางมาที่วอชิงตัน ดี.ซี. และเมื่อวานนี้พวกเขากระทำการบุกรุก ทำร้ายร่างกายและทำลายทรัพย์สิน เห็นได้ชัดว่าการตอบสนองของผู้บังคับใช้กฎหมายไม่เพียงพอ ทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดการณ์ว่าอาจเกิดการทำร้ายร่างกาย
ผู้สังเกตการณ์ได้สังเกจเห็นความความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ระหว่างการบังคับใช้กฎหมายตอบสนองฝูงชนผู้สนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์และการใช้กำลังอย่างไม่ได้สัดส่วน (disproportionate) เพื่อตอบสนองการประท้วงอย่างสงบของคนผิวดำเมื่อฤดูร้อนปี 2020 การปฏิบัติต่อกลุ่มคนในประเทศนี้เป็นไปแบบสองมาตรฐาน โดยเห็นได้จากการปฏิบัติการลอยนวลพ้นผิด (impunity) ของแก๊งค์อันธพาลที่รัฐสภา
มีรายงานว่าผู้หญิงคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิต ผู้ประท้วงหลายคนเดินไปมาในห้องโถงและถ่ายภาพเซลฟี่โดยไม่มีภาระอะไร เหตุการณ์ที่รัฐสภาของประเทศชี้ให้เห็นว่า การบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ปฏิบัติอย่างจริงจังและเพียงพอกับภัยคุกคามที่เกิดจากกลุ่มต่อต้านรัฐบาลและกลุ่มกลุ่มคนขาวผู้สูงส่ง นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดคำถามว่ามีผู้ร่วมกระทำผิดในการอนุญาตให้ม็อบเข้าไปในอาคารหรือไม่
ในที่สุดบริษัทสื่อสังคม (social media) โดย Twitter ได้ล็อกบัญชีของประธานาธิบดีทรัมป์ส่วน Facebook ก็ลบวิดีโอออกจากระบบ แต่แพลตฟอร์มของพวกเขาถูกใช้เผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน (disinformation) มานานหลายปี โดยปล่อยให้ประธานาธิบดีทรัมป์โกหกอย่างไม่ลดละ ทั้งนี้ สื่อสังคมออนไลน์และสื่อดั้งเดิมไม่ตระหนักถึงความสำคัญของคำพูดและการสมคบคิดที่เป็นกระแสหลัก
ในฟอรัมออนไลน์กลุ่มคนขาวผู้สูงส่ง neo-Nazis และกลุ่มต่อต้านรัฐบาลต่างชื่นชมกับฉากที่เผยแพร่ทางโทรทัศน์ ภาพความวุ่นวายในรัฐสภาจะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่สำคัญของกลุ่มขวาจัดและกลุ่มต่อต้านรัฐบาล การปิดล้อมรัฐสภาถือเป็นจุดสูงสุดของปีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนโจมตีเมืองหลวงของมลรัฐและอาคารของรัฐบาล เพื่อต่อต้านมาตรการด้านสาธารณสุขที่ดำเนินการเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของไวรัสโคโรนาที่กระตุ้นให้เกิดความไม่ไว้วางใจและการเพิกเฉยต่อรัฐบาลโดยรวม
ไม่ต้อสงสัยเลยว่าพันธมิตรและฝ่ายตรงข้ามสหรัฐฯทั่วโลกกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด ผู้นำของมิตรประเทศได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของประชาธิปไตยสหรัฐฯและเรียกร้องให้ถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ สำหรับผู้นำอำนาจนิยมดูอิ่มใจกับภาวะอนาธิปไตยที่แผ่ขยายออกไปในเมืองหลวงสหรัฐฯและสังเกตุจุดอ่อนอย่างใกล้ชิด ส่วนผู้ก่อการร้าย อาทิ รัฐอิสลาม al-Qaeda และผู้สนับสนุนดูเหมือนจะสังเกตเห็นการละเมิดมาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัฐสภาได้อย่างง่ายดายและพิจารณาจุดเปราะบางของเป้าหมายสำคัญ
กองกำลังรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (The National Guard) ถูกนำไปใช้ปกป้องรัฐสภา นอกเหนือจากกำลังเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) หนังสือพิมพ์ New York Times รายงานว่า พบอุปกรณ์วางเพลิงที่สำนักงานใหญ่ของคณะกรรมการแห่งชาติพรรครีพับลิกันและอีกชิ้นหนึ่งในพื้นที่รัฐสภา รวมทั้งพบบรรจุภัณฑ์น่าสงสัยตั้งอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของคณะกรรมการระดับชาติพรรคเดโมแครต
หลายชั่วโมงหลังจากรัฐสภาถูกโจมตีโดยฝูงชนผู้สนับสนุน ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกรายการโทรทัศน์นำเสนอข้อความแบบไม่เต็มใจต่อผู้ชุมนุมโดยเรียกร้องให้ประท้วงอย่างสันติ แต่ยังคงยืนกรานว่า มีการโกงการเลือกตั้ง โดยเรียกผู้สนับสนุนในฝูงชนว่า “พิเศษมาก” และบอกว่า “พวกเรารักคุณ”
มีรายงานว่าผู้ประท้วงบางคนยืนยันว่าครั้งต่อไปพวกเขาจะกลับมา “พร้อมปืนไรเฟิล” อย่างไรก็ดี สหรัฐฯไม่ได้สิ้นไร้ผู้นำโดยสิ้นเชิง – ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนเรียกร้องให้เกิดความสงบและ “ยุติการปิดล้อม” คำพูดของเขาตรงข้ามกับประธานาธิบดีในปัจจุบัน
เหตุการณ์ภายในและนอกรัฐสภา ทำลายความพยายามของสหรัฐฯในการส่งเสริมประชาธิปไตยและภาคประชาสังคมในต่างประเทศ นอกจากนี้ยังตัดทอนอิทธิพลและอำนาจการโน้มน้าว (soft power) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงการเปลี่ยนผ่านประธานาธิบดีผู้พยายามกู้คืนความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯในระดับโลก
ฉากภาพที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนและจุดล่อแหลมในการรักษาความปลอดภัย จะเป็นสิ่งบอกเหตุหมายถึงภัยคุกคามทางการเมืองและความมั่นคงของสหรัฐฯในช่วงหลายปีข้างหน้า
ที่มาบทความ : https://www.ianalysed.com/2021/01/soft-power.html
————————————————————————————
[1] U.S. CAPITOL STORMED BY VIOLENT PRO-TRUMP MOB IN UNPRECEDENTED CHALLENGE TO DEMOCRATIC PROCESS INTELBRIEF January 7, 2021 Available at: https://mailchi.mp/thesoufancenter/us-capitol-stormed-by-violent-pro-trump-mob-in-unprecedented-challenge-to-democratic-process?e=c4a0dc064a
[2] อำนาจอ่อน (Soft power) คือ แนวคิดที่พัฒนาโดย Joseph Nye แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หมายถึงความสามารถในการดึงดูดและสร้างการมีส่วนร่วมมากกว่าการบังคับหรือให้เงิน ในปัจจุบันใช้ในการเปลี่ยนแปลงและสร้างอิทธิพลต่อความคิดของสังคมและประชาชนในประเทศอื่นโดยอาศัยทรัพยากรพื้นฐาน 3 ประการได้แก่ วัฒนธรรม (culture) ค่านิยมทางการเมือง (political values) และนโยบายต่างประเทศ (foreign policies)
[3] QAnon เป็นทฤษฎีสมคบคิดที่ปราศจากมูลความจริง โดยมีความเชื่อหลัก ๆ ว่าประธานาธิบดีทรัมป์กำลังทำสงครามกับพวกใคร่เด็กที่บูชาซาตาน ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มชนชั้นนำที่แฝงอยู่ในรัฐบาล ธุรกิจและสื่อต่าง ๆ นอกจากนี้ QAnon ยังเชื่อในคำกล่าวอ้าง อีกมากมาย ส่วนใหญ่มักมีเนื้อหาที่ย้อนแย้งกันเอง สาวกของกลุ่มนี้มักหยิบเหตุการณ์ที่เป็นข่าวมาเชื่อมโยงกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และศาสตร์แห่งตัวเลขจนกลายเป็นข้อสรุปที่เหลือเชื่อ สืบค้นที่ https://www.bbc.com/thai/international-54528077