วิกฤติเศรษฐกิจต่อสภาวะคล่องตัวของ บ.ยักษ์ไอที
จากห้วงปีที่ผ่านมา โลกของเราได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งกระทบต่อทั้งภาคครัวเรือนและภาคเศรษฐกิจ ซึ่งบริษัททางด้านไอทีก็ได้รับผลกระทบอยู่ไม่น้อย ทั้งเรื่องการขาดแคลนชิปในการผลิต ไปจนถึงการขยายตัวของแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ที่กำลังจะกลืนแพลตฟอร์มเก่าให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงภายหลังการแพร่ระบาด COVID-19 คลี่คลายลง โดยในวันนี้เราจะมาพูดถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Intel Meta และ Twitter กันครับ
ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในสถานการนี้คงหนีไม่พ้นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Intel ที่ต้องมีการปรับตัวอย่างหนักจากสภาวะเซมิคอนดักเตอร์ล้นตลาด อันเป็นผลมาจากการผลิตชิปเพื่อทดแทนการขาดแคลนในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปจนถึงการตกลงอย่างรุนแรงของราคาคริปโทเคอเรนซี จนทำให้นักขุดนำการ์ดจอออกมาขายทอดตลาด
ส่งผลให้รายรับภาพรวม พบว่ารายได้ของ Intel ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ลดลงมากถึงร้อยละ 85 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปีก่อนหน้า โดย แพต เกลซิงเจอร์ (Pat Gelsinger) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Bloomberg ว่านอกจากบริษัทจะลดจำนวนพนักงานแล้ว ยังจะลดชั่วโมงการทำงานของพนักงานบางรายด้วย โดยหวังว่าจะลดรายจ่ายรายปีไม่น้อยกว่า 8,000 ล้านเหรียญ – 10,000 ล้านเหรียญ (ประมาณ 300,000 ล้านบาท – 378,000 ล้านบาท) ภายในสิ้นปี 2025
ทั้งนี้ เกลซิงเจอร์ชี้ว่าต้นทุนที่เกิดจากการจ้างบุคลากรนั้นถือเป็นส่วนน้อยนิดเท่านั้นของรายจ่ายทั้งหมด รายจ่ายส่วนใหญ่เสียไปกับการตั้งอาคารสถานที่และโรงงานใหม่ ๆ อย่างโรงงานใหม่ในรัฐโอไฮโอที่ Intel ใช้เงินกว่า 20,000 ล้านเหรียญในการสร้าง (757,000 ล้านบาทโดยประมาณ)
ต่อกันที่บริษัทอย่าง Meta (Facebook, Instagram และ WhatsApp) ก็ยังคงได้รับผลกระทบอยู่ไม่น้อยจากการปรับเปลี่ยนแบรนด์ และต่อยอกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Metaverse โดยเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2022 Meta รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดว่า มีรายได้ 27,700 ล้านเหรียญ (ประมาณ 1 ล้านล้านบาท) ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้วอยู่ 4% และเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันที่รายได้ของบริษัทลดต่ำลง ในขณะที่กำไรร่วง 52% เหลือ 4,400 ล้านเหรียญ (ประมาณ 166,000 ล้านบาท)
หนึ่งในปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ Meta ก็คือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ที่มุ่งมั่นจะลงทุนเงินหลายพันล้านดอลลาร์ไปกับ Reality Labs ที่ทำหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับ Metaverse โดย ตั้งแต่ต้นปี 2022 หุ่นของ Meta ก็ร่วงลงกว่า 61% เพราะนอกจากปัจจัยภายในแล้วก็ยังมีปัจจัยภายนอกอย่าง Tiktok รวมถึงรายได้ค่าโฆษณาที่หายไปจากการอัปเดตความเป็นส่วนตัวของ Apple
จึงทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการภายในใหม่ โดยจะมีการร้องขอให้พนักงานทำงานมากขึ้น 200% และยังอาจต้องมีการลดจำนวนพนักงานลง 20%
และ บริษัท Twitter ภายหลังจากที่มีข้อพิพาทในการซื้อหุ้นของ นายอีลอน มัสก์ ล่าสุดได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น โดยนายอีลอน มัสก์ได้มีการซื้อหุ้นก่อนมีการพิจารณาคดีเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลกระทำให้มีการยุติบทบาทของผู้บริหารบริษัทหลายท่าน และได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยมีการนำวิศวกรของ Tesla มาร่วมวิเคราะห์การเขียน Code ของ Twitter ด้วย
นอกจากนี้ อีลอน มัสก์ ยังวางแผนที่จะลดพนักงานที่ทำงานกับ Twitter ลงถึง 75% ในเวลาไม่กี่เดือนหลังดีลการซื้อ Twitter เสร็จสิ้น
ดีลเข้าซื้อ Twitter มูลค่า 44,000 ล้านเหรียญ (เกือบ 2 ล้านล้านบาท) ของมัสก์จะเสร็จสิ้นลงในวันที่ 28 ตุลาคม โดยเขาจะลดจำนวนพนักงานเหลือเพียงประมาณ 2,000 คน จากปัจจุบันที่มีพนักงานทั้งหมดราว 7,500 คน
อย่างไรก็ตาม แม้มัสก์จะไม่เข้าซื้อ Twitter ทางบริษัทเองก็มีแผนจะลดจำนวนพนักงานลงอีกประมาณ 1/4 ของจำนวนพนักงานทั้งหมดอยู่แล้ว เพราะ Twitter ต้องการที่จะลดค่าใช้จ่ายในด้านนี้ลง 800 ล้านเหรียญ (ประมาณ 30,000 ล้านบาท) ภายในสิ้นปี 2023
หนึ่งในแผนกที่ Twitter วางแผนจะปลดพนักงานออกเป็นแผนกด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอย่าง ศูนย์ข้อมูล (data center) ซึ่งผลกระทบจากการปลดพนักงานจะทำให้ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของบัญชีที่ใช้งานในแต่ละวันกว่า 200 ล้านบัญชีเพิ่มสูงขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
1. https://www.beartai.com/news
2. https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-20/musk-plans-to-cut-twitter-workforce-by-75-washington-post-says?srnd=premium-asia&sref=FABRUQ9j&fbclid=IwAR3nzDt4U9qJAXDAZBodtIMg-O8D43tuelALjTumiosb7Ura4eTiIe4faYo&leadSource=uverify%20wall
