มีรัฐบาลแบบนี้อย่ามีเลย
ในที่สุดก็มาถึงวันที่คนทั้งประเทศด่าคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างไม่เคยด่าหัวหน้ารัฐบาลไหนมาก่อนเลย
คำด่าที่ประชาชนมีต่อคุณประยุทธ์นั้นมากจนไม่น่าเชื่อว่าคนคนเดียวจะมีคนทั้งประเทศรังเกียจขนาดนี้
ยิ่งคำหยาบยิ่งมากจนนายกฯ ที่ไม่มีใครเหมือนยังพูดว่าโดนด่าจนสะเทือนใจ
นานแล้วที่ทุกคนรู้ว่าคุณประยุทธ์บริหารห่วยจนไม่ต้องเถียงกัน
แต่ที่เป็นเรื่องใหม่คือความห่วยของคุณประยุทธ์มากถึงจุดที่การเชียร์คือความอัปยศ ไม่มีใครอยากถูกสังคมเรียกว่า “สลิ่ม” หรือผู้สนับสนุนรัฐบาลจนสติแตก ทั้งที่คนกลุ่มนี้เคยกร่างจนยุทหารฆ่าคนเสื้อแดงและรัฐประหาร 2557
ล่าสุด แม้กระทั่งร้านอาหารที่เจ้าของตรรกะวิบัติจนเป็น “สลิ่ม” ก็ยังมีคนตั้งกลุ่มในเฟซบุ๊กเพื่อไม่ไปกินกันแล้ว
และถ้าหากความไม่พอใจต่อ “สลิ่ม” มีมากขนาดนี้ ความไม่พอใจต่อรัฐบาลและระบอบซึ่งเป็นผลผลิตของ “สลิ่ม” ย่อมมากท่วมท้นทวีคูณ
ตัวเลขคนตายสองพันและติดเชื้อสองแสนมีส่วนให้คนด่าคุณประยุทธ์ทั้งแผ่นดิน
แต่สิ่งที่มากกว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อซึ่งหลังเดือนเมษายนพุ่ง 6 เท่า คือความไม่พอใจที่คุณประยุทธ์ไม่หยุดเดินหน้านโยบายที่สร้างปัญหา, ไม่รับผิดชอบกับผลกระทบ และไม่แสดงความเห็นใจกับผู้เดือดร้อนแม้แต่นิดเดียว
สามเดือนแล้วที่คุณประยุทธ์ทำให้คนไทยต้องข่มตานอนด้วยความหวาดผวาว่าพรุ่งนี้จะมีคนตายกี่คน เราจะติดเชื้อหรือไม่ พ่อ-แม่ที่ติดเชื้อจะได้โรงพยาบาลหรือเปล่า วัคซีนห่วยหรือดี จะฉีดหรือยกเลิก ฯลฯ
คือสามเดือนที่ยิ่งนานยิ่งสิ้นหวัง และมองไปรอบตัวก็ไม่มีสถาบันไหนให้หวังได้เลย
ต่อให้ ศบค.พยายามใช้ตัวเลขคนหายป่วยกลบเกลื่อนตัวเลขคนติดเชื้อและคนตาย จำนวนคนตายที่พุ่งจากร้อยเศษๆ ในเดือนเมษายน เป็น 2,000 คนในเดือนมิถุนายน เทียบได้กับเอาใบบัวปิดช้างตายทั้งตัวไม่มิด
แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคือการแก้ปัญหาของคุณประยุทธ์ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย
คุณทักษิณ ชินวัตร และคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เตือนคุณประยุทธ์ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ว่าอย่าพึ่งวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าตัวเดียว คนทั้งประเทศแสดงออกว่าไม่ต้องการให้คุณประยุทธ์ซื้อซิโนแวคอีก
แต่ผลคือเดือนนี้วัคซีนแอสตร้าฯ มาเกือบไม่เป็นไปตามเป้า อย.ระงับฉีดซิโนแวคล็อตที่เสีย และรัฐแทบไม่ซื้อวัคซีนยี่ห้ออื่นเพิ่มเลย
คุณประยุทธ์กับก๊วนนิด้าที่คุม ศบค.ไม่เคยหยุดด่ากลับคนวิจารณ์รัฐบาล และถึงแม้คนวิจารณ์จะมีทั้งกลุ่มที่ฉวยโอกาสด่ากับกลุ่มที่มีเหตุมีผลจริงๆ โดยภาพรวมคือการวิจารณ์ถูกมากกว่าผิด เพราะการตัดสินใจพึ่งแอสตร้าฯ และซิโนแวคทำให้เราไม่มีไฟเซอร์และโมเดอร์นาที่จะสู้โควิดอินเดียได้เลย
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่าไวรัสอินเดียจะยึดกรุงเทพฯ ใน 2 เดือน หรือราวๆ สิงหาคม ขณะที่รัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล เคยบอกว่าวัคซีนไฟเซอร์น่าจะมาถึงไทยในไตรมาสสี่
นั่นแปลว่าจะไม่มีคนกรุงเทพฯ หรือคนไทยคนไหนมีวัคซีนที่พอจะสู้โควิดสายพันธุ์อินเดียได้ อย่างน้อยจนถึงเดือนตุลาคม
อย่างไรก็ดี ถ้าเชื่อตามที่สฤณี อาชวานันทกุล ระบุว่ารัฐบาลยังไม่ลงนามสัญญาซื้อไฟเซอร์จริงๆ และสิ่งที่ลงนามเป็นเพียง Term Sheet หรือเอกสารระบุเงื่อนไขกว้างๆ ประเทศไทยก็อาจได้วัคซีนไฟเซอร์ช้าไปอีก หรือเท่ากับการเผชิญกับไวรัสอินเดียด้วยวัคซีนที่ไม่รู้ว่าจะป้องกันได้หรือไม่เลย
ประเทศไทยเริ่มมีผู้ติดเชื้อพุ่งเฉลี่ยวันละ 3,000 คนตั้งแต่ 12 มิถุนายน ผลที่เกิดขึ้นหลังจากสัปดาห์แรกผ่านไปคือโรงพยาบาลเตียงเต็ม ผู้ป่วยไม่มีเตียง หมอให้คนป่วยมาโรงพยาบาลไม่ได้ การจ่ายยาจึงทำไม่ได้ตามไปด้วย ในที่สุดรัฐบาลต้องออกนโยบายให้ผู้ป่วยกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) ไปเลย
ไม่ว่าคุณประยุทธ์และรัฐมนตรีจะยืนยันว่าระบบสาธารณสุขไทยแข็งแกร่งเพียงไร นโยบาย Home Isolation คือใบเสร็จว่าระบบสาธารณสุขไทยวิกฤตตั้งแต่ในแง่เครื่องไม้เครื่องมือหรือบุคลากร ยิ่งไปกว่านั้นวิกฤตที่เกิดขึ้นนี้รุนแรงจนรัฐบาลต้องดำเนินมาตรการที่ส่งผลกึ่งล็อกดาวน์ไปพร้อมกัน
หนึ่งสัปดาห์แล้วที่โรงพยาบาลรัฐทยอยปิดวอร์ดหรือไม่รับผู้ป่วยฉุกเฉินเพิ่มเลย ระบบสาธารณสุขจึงมีปัญหาจริง และเป็นปัญหาที่น่าวิตกมากด้วย เพราะเท่ากับว่าโควิดกำลังจะระบาดเกินกำลังของหมอและโรงพยาบาลจนรัฐต้องตัดโอกาสที่ผู้ป่วยโรคอื่นจะเข้าถึงการรักษาพยาบาลไปเลย
ผู้ติดเชื้อในไทยพุ่งเฉลี่ย 4,000 คน/วัน ต่อเนื่องหลังวันที่ 22 มิถุนายน และถ้าตัวเลขผู้ป่วยระดับ 3,000 คน/วัน ทำให้ระบบสาธารณสุขวิกฤตจนต้องกักตัวผู้ป่วยตามบ้านแทนโรงพยาบาล ตัวเลขระดับ 4,000 คน/วัน ก็จะทำให้ระบบวิกฤตขึ้นไปอีก
ไม่ต้องพูดถึงโควิดอินเดียที่การระบาดจะเร่งให้ทุกอย่างเลวร้ายลง
ทุกคนรู้ว่ารัฐบาลบริหารวัคซีนห่วยตั้งแต่ซื้อถึงฉีด ไม่มีวันไหนที่รัฐฉีดวัคซีนได้ตามเป้า ยอดฉีดเฉลี่ยวันละ 9 หมื่น ต่ำกว่าเป้าที่ต้องทำได้วันละ 480,000 โดส ถึง 5 เท่า
แต่ไม่มีใครรับผิดชอบเลยที่ความห่วยทำให้ระบบสาธารณสุขล่มจนต้องหยุดรับผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาล
ประเทศไทยเดินหน้าสู่ความมืดมน ผู้ติดเชื้อเฉลี่ยวันละ 4,000 คน ทะยานเป็น 5,000 คนตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน จากโควิดอินเดียที่จะขยายตัวไปเรื่อยๆ จนกว่าวัคซีนไฟเซอร์จะมาในไตรมาสสี่ ซึ่งแปลว่าปัญหาเตียงหมด-โรงพยาบาลเต็ม-หมอขาด ตอนนี้เป็นเพียงโหมโรงของหายนะที่จะตามมาอีกหลายเดือน
คุณประยุทธ์ทำให้คนไทยตื่นมาพร้อมข่าวร้ายเรื่องตัวเลขคนตายที่ทำนิวไฮสูงขึ้นต่อเนื่อง เส้นทางสู้ศึกโควิดด้วยวัคซีนพังพินาศ หมอด่านหน้าโวยรัฐบาลและหมอที่เดินตามก้นประยุทธ์ว่าผลักให้ทุกคนไปตาย ส่วนราชวิทยาลัยอายุรแพทย์เรียกร้องให้รัฐบาลหาวัคซีนดีๆ แต่ไม่มีความคืบหน้าเลย
คุณประยุทธ์ทำให้ประเทศไทยสู้ศึกโควิดด้วยการใช้วัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ไม่ได้ สาเหตุที่ทำแบบนี้ไม่ได้เพราะรัฐบาลซื้อแต่วัคซีนห่วยที่กันตายโดยไม่กันการแพร่เชื้อ
แต่ไม่ยอมซื้อวัคซีนดีที่กันเชื้อระบาดได้อย่างที่คนไทยรู้กันทั้งประเทศ
มีแต่รัฐบาลและหมออวยรัฐบาลที่ไม่ยอมรับความจริง
อาวุธที่คุณประยุทธ์กลับมาใช้อีกครั้งคือนโยบายกึ่งล็อกดาวน์
แต่วิธีนี้จะสำเร็จเมื่อรัฐบาลมีเงินมากพอจะเลี้ยงดูประชาชนจนสามารถปิดเมืองไม่ให้ใครไปไหนได้เลย
ส่วนรัฐบาลไทยดูแลประชาชนไม่ได้ จ่ายค่าแรงครึ่งเดียวให้คนงานอยู่แคมป์อย่างบัดซบ คนจึงหนีกลับบ้านเกิดจนเชื้อลามทั่วไทย
ไม่ว่ารัฐบาลจะจงใจอย่างไร ผลก็คือจังหวัดที่ปลอดเชื้อต้องรับภาระที่เชื้ออาจลามจากส่วนกลางไปด้วย
ปัญหาคือที่ผ่านมาแผนฉีดวัคซีนให้คนต่างจังหวัดผ่านระบบหมอพร้อมถูกรัฐบาลทำพินาศย่อยยับ
คนจังหวัดต่างๆ จึงต้องสู้ศึกไวรัสที่ลามจากกรุงเทพฯ โดยไม่มีอะไรป้องกันตัวเลย นอกจาก อสม.
โดยปกติแล้วการล็อกดาวน์ที่ได้ผลนั้นต้องมีการปูพรมตรวจเชื้อประชาชนระดับ 100% เพื่อแยกผู้ติดเชื้อออกมากักตัว
แต่รัฐบาลไทยทำการล็อกดาวน์โดยตรวจเชื้อประชาชนน้อยมาก ผลก็คือเราล็อกดาวน์โดยที่ปล่อยให้เชื้อลามตามบ้านราวกับหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเดี๋ยวเชื้อจะค่อยๆ ลดลงเอง
สูตรสำเร็จของการสู้โควิดทั่วโลกมีแค่ระดมฉีดวัคซีนหรือกักตัว
แต่สิ่งที่คุณประยุทธ์ทำกับประเทศไทยคือฉีดวัคซีนห่วยอย่างล่าช้า
ส่วนการกักตัวก็กลายเป็นการส่งผู้ติดเชื้อไปต่างจังหวัด ผลก็คือผู้ติดเชื้อจากหลักสามพันในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายน เป็นหลักห้าพันในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน
ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่หายนะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อวันละ 5,000 คน เป็นเพียงบันไดขั้นแรกสู่การทะยานของเชื้อและความตายที่จะรุนแรงกว่านี้อีกมาก หมอบางรายเคยประเมินว่าเราจะเห็นผู้ติดเชื้อใหม่หลักหมื่นในเดือนกรกฎาคม
ส่วนคนตายรายวันอาจจะทะยานหลักร้อยในอีกไม่ไกล
คําถามที่ไม่มีใครรู้คือช่วงยาวของการระบาดจะจบลงที่ไหน หลายประเทศใช้เวลา 3-4 เดือนกว่าที่การระบาดจะเป็นขาลงด้วยการระดมฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง แต่แผนวัคซีนของคุณประยุทธ์พังจนเป็นที่พึ่งได้ยาก อนาคตของประเทศจึงมีแต่ความมืดจนกว่าหายนะจะหมดเรี่ยวแรงของมันเอง
Home Isolation คือสัญลักษณ์ของระบบสาธารณสุขที่พังพินาศจนต้องเอาบ้านเป็นที่พึ่ง และเส้นทางของการระบาดในประเทศไทยก็กำลังเดินหน้าสู่การที่คนไทยไม่มีที่พึ่ง นอกจากต้องอยู่บ้าน เอาตัวรอดแบบตัวใครตัวมัน มีเงินก็หาซื้อวัคซีนดีๆ แบบมือใครยาวสาวได้สาวเอาเท่านั้นเอง
ไม่เคยมียุคไหนที่คนไทยทั้งประเทศจะสิ้นหวังขนาดนี้ และไม่เคยมียุคไหนที่ความโง่เขลาเบาปัญญาของคนเพียงคนเดียวจะทำให้คนตายเป็นเบือโดยไม่มีวี่แววว่าจะยุติลง
มีรัฐบาลแบบนี้อย่ามีเลย
บทความโดย : ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
ที่มา : https://www.matichonweekly.com/column/article_439407